“ปัญหาชาวนาไทยลดลงไม่มีคนปลูกข้าว
อนาคตคนไทยอาจขาดข้าว”
ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญอันดับต้นๆของประเทศไทย
แต่ชาวนาที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติก็ยังมีฐานะยากจนและมีหนี้สินมากมาย พื้นที่ที่เคยปลูกข้าวกลับมีการลดลงอย่างเห็นได้ชัด
กลับเปลี่ยนมาเป็นพื้นที่ปลูกพืชที่ไม่ใช่อาหารเป็นส่วนใหญ่
อายุเฉลี่ยของชาวนาปัจจุบันอยู่ที่อายุ 47 – 51 ปี
โดยพบว่าคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ไม่นิยมทำนา ส่วนใหญ่จะเข้าเมืองหางานทำ
ทำให้น่ากังวลว่าอนาคตข้างหน้าจะทำอาชีพชาวนาลดลง
และยังมีปัญหาอีกหลายปัญหาที่เกิดขึ้นกับชาวนา
ไม่ว่าจะเป็น
ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ปัญหาต้นทุนการผลิตข้าวสูง เช่น
ราคาน้ำมันแพง ปุ๋ยราคาแพง ปัญหาการเช่าที่ดินทำนาไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลางทำให้ผลผลิตขายได้ราคาถูก ปัญหาภัยธรรมชาติ
เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม ปัญหาการคุกคามจากศัตรูพืช ปัญหาการเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต
ชาวนาส่วนใหญ่จะจ้างแรงงานแทนการทำนาเอง เช่น จ้างหว่านปุ๋ย - ฉีดยา
จ้างรถเกี่ยวข้าว เป็นต้น สิ่งนี้คือปัญหาที่เกิดกับปัญหาชาวนาซ้ำๆซาก
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมาใหม่และเป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงยิ่งนักก็คือ “ปัญหาชาวนาไทยลดลงไม่มีคนปลูกข้าว
อนาคตคนไทยอาจขาดข้าว”
จากการที่ได้ไปพูดคุยกับท่านเลขาธิการมูลนิธิข้าวไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ดร.ขวัญใจ โกเมศ พูดถึงการปลูกข้าวสมัยอดีตกับปัจจุบันมีความแตกต่างอย่างไร
ท่านกล่าวว่า “สมัยอดีตชาวนาปลูกข้าวเพื่อกินในครัวเรือนก็จะใช้พันธุ์ข้าวที่ตนเองชอบกิน
แต่พอปัจจุบันปลูกข้าวไว้เพื่อขายก็ต้องปลูกพันธุ์ข้าวที่พอขายได้หรือเป็นพันธุ์ที่ตลาดต้องการ
เวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวก็จะส่งให้โรงสีทั้งหมด บางทีต้องไปซื้อข้าวที่ตลาดมากิน
ไม่มียุ้งฉางให้เก็บเหมือนสมัยอดีต วิธีการทุกอย่างจะแตกต่างไปจากอดีตอย่างมาก ส่วนเทคโนโลยีสมัยอดีตไม่ต้องไปพึ่งพาเทคโนโลยีในการเร่งผลผลิต
ไม่ต้องซื้อยา ใส่ปุ๋ย ทำให้ต้นทุนในการผลิตต่ำ
ผิดกลับสมัยปัจจุบันต้องปลูกข้าวที่ตลาดต้องการ ต้องมีผลผลิตเยอะๆ ต้องมีกำไร
จึงมีการนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มผลผลิต ทำให้ต้นทุนในการผลิตสูง” ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการปลูกข้าวอย่างเห็นได้ชัดเจน
ปัญหาอันดับแรก ที่พูดถึงกันในวันนี้
คือ พื้นที่ที่เคยปลูกข้าวมีการลดลงอย่างเห็นได้ชัด
กลับเปลี่ยนมาเป็นพื้นที่ปลูกพืชที่ไม่ใช่อาหารเป็นส่วนใหญ่
อาจจะเป็นเพราะอาชีพชาวนามีความเสี่ยงสูง
ใช้ต้นทุนสูงในการผลิต และส่วนใหญ่ราคาหรือผลกำไรจากการขายข้าวจะได้น้อยกว่าค่าต้นทุนในการผลิตเสียอีก
พูดง่ายก็คือราคาข้าวตกต่ำ
ถ้าเทียบกับการปลูกยางพาราหรือพืชที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงพลังงานที่ไม่ต้องดูแลรักษาผลผลิตอะไรมากมาย
แต่ได้ค่าผลผลิตผลตอบแทนที่สูงกว่า
“ซึ่งอาจส่งผลให้ประเทศไทยผลิตข้าวได้ไม่มากพอที่จะมีเหลือเพื่อส่งออก
หรืออาจถึงขั้นวิกฤตที่ไม่สามารถผลิตได้เพียงพอสำหรับการบริโภคในประเทศด้วยซ้ำ หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นต่อไป ก็น่าเสียดายที่คนไทย
โดยเฉพาะชาวนาไทยจะต้องสูญเสียความภาคภูมิใจในข้าวไทยที่มีมานาน
เพราะประเทศไทยเป็นประเทศส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลก” ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลก็ได้หาแนวทางแก้ไขมาหลายครั้งแต่ก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจของชาวนามากนัก
ไม่ว่าจะเป็นโครงการของการรับจำนำราคาข้าวกับการประกันราคาข้าว
ในความคิดของท่านเลขาธิการมูลนิธิข้าวไทยฯ
เห็นว่าโครงการรับประกันราคามีประโยชน์ต่อชาวนามากที่สุด “เพราะเป็นการค้าขายแบบเสรี
ชาวนาจะค้าข้าวเมื่อไรก็ได้ บิดเบือน เป็นการประกันว่าชาวนาจะขายข้าว ได้ไม่ต่ำกว่าหมื่นบาท
(และจะปรับขึ้น ในปีต่อไป) แม้ว่าราคาข้าวในท้อง
ตลาดจะเป็นเท่าไรทางรัฐจะชดเชยส่วนที่ขาดหายไปให้ ปัญหาทุจริตคอรัปชันจากเจ้าหน้าที่รัฐมีน้อยมากเพราะเงินสู่มือชาวนาโดยตรงผ่านธนาคาร
ธ.ก.ส.” ในของส่วนโครงการรับจำนำข้าว “เป็นโครงการที่มีการทุจริตคอรัปชั่นสูง
ชาวนาจะได้รับเป็นเงินสดทันทีเมื่อขายข้าว จะทำให้ราคาข้าวในท้องตลาดเพิ่มขึ้น
เนื่องจากถ้าพ่อค้าไม่รับซื้อ ในราคาสูงก็ไม่มีข้าวขายเพราะรัฐจะซื้อเองหมด”
แต่ชาวนาจะชอบโครงการรับจำนำข้าวมากกว่าเพราะได้เงินสดกลับมาทันที
นำเงินไปใช้จ่ายได้เลย ซึ่งถือได้ว่าเป็นผลตอบแทนระยะสั้นมากกว่าระยะยาว
ซึ่งสิ่งนี้ชาวนาน่าจะทบทวนสักนิดว่าโครงการไหนมีประโยชน์กับตัวเองมากที่สุด
และยังมีเรื่องของภัยธรรมชาติที่ยากต่อการควบคุม ไม่ว่าจะเป็น ภัยแล้ง
ภัยน้ำท่วม จึงทำให้ชาวนาเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่น เพื่อความอยู่รอดของชีวิตเขา นี้ก็คือปัญหาอีกอย่างหนึ่ง
เราจะต้องสอนให้ชาวนารู้จัดกับการจัดการในการทำนา รายได้ และความเสี่ยงให้น้อยลง “อยากจะทางภาครัฐบาลมาแก้ไข้ปัญหาระยะยาวมากกว่าที่จะมาแก้ไข้ปัญหาเฉพาะหน้า
คือ อาจจะเรื่องของการชลประทานเข้ามาช่วยของน้ำท่า
มีการส่งเสริมงานวิจัยเรื่องพัฒนาพันธุ์ข้าว
ให้เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมทนต่อสภาพอากาศในปัจจุบัน”
ปัญหาอันดับสอง
จำนวนชาวนามีแนวโน้มลดลง
อายุเฉลี่ยของชาวนาจะอยู่ที่อายุ 47
– 51 ปี โดยพบว่าคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ไม่นิยมทำนา
ส่วนใหญ่จะเข้าเมืองหางานทำ ทำให้น่ากังวลว่าอนาคตข้างหน้าจะทำอาชีพชาวนาลดลง “อาจจะเพราะพ่อแม่ที่เป็นชาวนาไม่อยากให้ลูกหลานลำบากเหมือนตนเองจึงส่งเสียให้ลูกหลานได้เรียนสูง
ยอมแม้กระทั่งไปกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อที่จะส่งให้ลูกๆหลานได้เรียนสูงๆ จะได้มีทางเลือกในชีวิตมากขึ้น
ส่วนปัจจุบันราคาสูงขึ้น ทำให้เห็นถึงความสำคัญของชาวนามากขึ้น ทำให้วัยหนุ่มสาวหันกลับมาปลูกข้าวอีกครั้งเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ”
เมื่อพูดถึงปัญหาจำนวนชาวนามีแนวโน้มลดลง ท่านเลขาธิการมูลนิธิข้าวไทยฯได้พูดถึง โครงการ “อนุชนชาวนาไทย ความอยู่รอดของข้าวไทย”
เป็นโครงการเพื่อปลูกจิตสำนึกและบ่มเพาะแนวคิดให้เยาวชนไทยตระหนักถึงความสำคัญของข้าวต่อวัฒนธรรมและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย สนับสนุนและส่งเสริมให้เยาวชนลูกหลานชาวนาเรียนรู้เทคโนโลยีและการจัดการที่ทันสมัยเพื่อเป็นชาวนารุ่นใหม่ที่มีความรู้
ความสามารถเพื่อช่วยสร้างภาพลักษณ์และปรับปรุงวิถีชีวิตของชาวนาไทยในยุคใหม่ให้ดีขึ้น
โดยนำลูกหลานชาวนาที่มีอาชีพทำนาจริง มีความสนใจในการเกษตร มาร่วมโครงการซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
“ลูกหลานชาวนาบางคนก็นำสิ่งที่ได้รับความรู้จากการอบรมไปพัฒนาพื้นนาของตน
หรือบางคนอยากจะเป็นนักวิจัยพันธุ์ข้าวเองด้วยซ้ำ
ซึ่งก็ถือเป็นผลตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก”
ประเทศไทยเราเป็นที่มีการส่งออกข้าวมากที่สุดและนำรายได้เข้าประเทศเป็นกอบเป็นกำ
อยากจะฝากให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันไม่ว่าจะภาครัฐบาล ศูนย์งานวิจัย
แม้กระทั่งตัวชาวนาเองก็ตาม ต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระยะยาว
และมองการณ์ไกล เพื่อให้อาชีพชาวนาไทยให้ดำรงอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีและยั่งยืน ส่งเสริมให้ชาวนารู้จักการจัดการผลผลิต
เงินทองของตนเอง และเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีและการจัดการการทำนาที่ทันสมัย จะช่วยปรับปรุงวิถีชีวิตของชาวนาไทยในยุคใหม่ให้ดีขึ้น
กระตุ้นให้ชาวนาไทยมีศักยภาพการผลิตข้าวเพื่อการค้า สามารถแข่งกับประเทศอื่นๆ
ได้ดี
วิภาวรรณ
พุทธหอม 5354006123 สาขาวารสารศาสตร์สื่อประสม
คณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น